สภาพัฒน์เตือนการคลังไทยจ่อวิกฤต ฉุดเครดิตประเทศร่วงระดับไม่น่าลงทุนปี 70

25 สิงหาคม 2568
สภาพัฒน์เตือนการคลังไทยจ่อวิกฤต ฉุดเครดิตประเทศร่วงระดับไม่น่าลงทุนปี 70

รายงานสำคัญจากสภาพัฒน์เผย การคลังไทยใกล้จุดวิกฤต เครดิตประเทศเสี่ยงร่วงลงสู่ระดับ Non-investment Grade หรือไม่น่าลงทุนปี 70 จากหนี้สูง รายได้รัฐอ่อนแอ

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและสถานการณ์การเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ออกมาเตือนถึงภาวะวิกฤติทางการคลังที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของประเทศอาจจะตกอยู่ในระดับที่ไม่น่าลงทุน (Non-investment Grade) ภายในปี 2570

การเตือนครั้งนี้มาพร้อมกับการเผยแพร่รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ชัดเจนของปัญหาโครงสร้างทางการคลังที่ก่อตัวขึ้นมานาน โดยกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาคได้นำเสนอภาพรวมของความเปราะบางทางการคลังที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถของประเทศในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดสากล

ความกังวลหลักที่สภาพัฒน์ชี้ให้เห็นครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประสิทธิภาพของระบบภาษีที่ลดลง และภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนอาจข้ามเกณฑ์วิกฤติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรจัดอันดับเครดิตระดับโลกใช้ในการประเมินความเสี่ยงของประเทศ

หากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นจริงขึ้น ไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตกอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศลดลง และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทย

รายงานของสภาพัฒน์ ระบุว่า ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทยอยู่ที่ Baa1 โดยเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody's ปรับมุมมองเป็น Negative Outlook เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนจากการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff)

ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งการลดลงของศักยภาพทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังที่อ่อนแอลง

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 S&P Global Ratings และ Fitch Ratings รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองไว้ที่ Stable Outlook เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภาคการเงินต่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ทุนสำรองต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ตลาดทุนยังสามารถรองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชนได้ แม้จะมีความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศและมีอายุหนี้เฉลี่ยที่ค่อนข้างยาวและเอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงร้อยละ 87.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเดียวกันและเป็นข้อจำกัดต่อประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 16 ต่อ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD และ Asia and the Pacific ที่ร้อยละ 24.8 และร้อยละ 18.6

ดังนั้น การกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และการลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐลงให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมจะส่งผลให้ภาคการคลังมีความเข้มแข็งมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทย และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงสร้างรายได้รัฐบาลของไทย

สำหรับโครงสร้างรายได้รัฐบาลของไทยพบว่า โดยเฉลี่ยมีสัดส่วนภาษีทางอ้อมคิดเป็นร้อยละ 51.4 ขณะที่ภาษีทางตรงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.2 ประกอบกับโครงสร้างภาษีที่พึ่งพาฐานการบริโภคมากกว่าฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สิน และเมื่อคำนวณค่า Buoyancy Revenue ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ดังนั้น ในระยะต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษี ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุม รวมทั้งพิจารณาทบทวนและยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ผ่านมาตรการทางภาษีที่ไม่เกิดความคุ้มค่า การลดความซ้ำซ้อนและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะเท่าที่จำเป็น

ปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้

ขณะเดียวกัน ปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้เป็นหนึ่งเกณฑ์สำคัญต่อการประเมินความเข้มแข็งทางการคลัง โดยพิจารณาจากสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาล ซึ่งหากเกณฑ์ดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 12 มีความเสี่ยงที่จะถูกพิจารณาอยู่ในระดับ Non-investment Grade (กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน) หรือ Speculative Grade (กลุ่มที่ลงทุนเพื่อการเก็งกำไร)

การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐจึงควรต้องจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ในส่วนของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินที่สูงขึ้นมากตั้งแต่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคตและเพื่อไม่ให้เสถียรภาพทางการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป

การวิเคราะห์ล่าสุดของสภาพัฒน์ในเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงการพยากรณ์ที่น่าเป็นห่วง แต่เป็นสัญญาณเตือนที่เร่งด่วนให้ภาครัฐต้องดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างทางการคลังอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่วิกฤติทางการคลังที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.